“NER” ผลงานสดใส กำไรครึ่งปีกว่า 851 ล้านอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.07 บาท ย้ำรายได้ปีนี้ตามเป้า 2.8 หมื่นล้าน
บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER เผยมติคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวด6 เดือนปี 2565 ในอัตรา 0.07 บาท/หุ้น ด้านงบ 6 เดือนปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 851.09 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 5.68% หลังราคายางมีทิศทางที่ดี และบริหารจัดการต้นทุนขายได้ดี สำหรับปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้ามุ่งเน้นและพัฒนา การเติบโตสินค้าต้นน้ำและสินค้าปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยคาดรายได้จะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาทตามเป้าที่วางไว้
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยจ่ายปันผลเป็นเงินสด อัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.07 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 7 กันยายน 2565 รวมเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท สำหรับวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 23 สิงหาคม 2565 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 24 สิงหาคม 2565
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 851.09 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 45.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.68% เนื่องจากสถานการณ์ราคายางในไตรมาส 2/2565 มีทิศทางที่ดี บริษัทสามารถจัดการต้นทุนขายได้ดีรวมถึงบริหารจัดการต้นทุนจัดจำหน่ายและมีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้น
ด้านรายได้จากการขายรวม สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,864.82 ล้านบาท ลดลง 387.82 ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อ COVID-19 ในประเทศจีน และค่าใช้จ่ายค่าระวางเรือที่สูงขึ้น ทางบริษัทฯจึงปรับสัดส่วนยอดขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเทศมากขึ้นเพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรไว้
สำหรับภาพรวมธุรกิจของปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท จากกำลังการผลิตที่ 4.6 แสนตันเติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้รับผลดีจากราคายางพาราที่ปรับขึ้น เฉลี่ยที่ 60-65 บาท/กิโลกรัม นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้จะเพิ่มกำลังผลิตอีก 5 หมื่นตัน เป็น 5.1 แสนตัน/ปี จากเดิมที่ 4.6 แสนตัน คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาส 4 ปี 2565 ขณะที่ล่าสุดบริษัทมีเซ็นสัญญาเพิ่มลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดีย 4 ราย โดยวางเป้าลูกค้าประเทศอินเดีย 10-15 % ในปี 2566 หรือประมาณ 7 หมื่นตัน/ปี ลูกค้าประเทศจีนอยู่ที่ 60% โดยเป็นลูกค้าจีนที่มีโรงงานอยู่ในประเทศ และต่างประเทศ ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกค้าประเทศญี่ปุ่น และสิงค์โปรเป็นต้น
สำหรับแนวโน้มราคายาง ยังคงได้รับปัจจัยการสนับสนุนจากราคาตลาดล่วงหน้าต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทคาดว่า รายได้จากยางพาราจะเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากการเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์ EV ในประเทศจีน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ยางพารามากที่สุดประมาณ 50% ของปริมาณยาง จะมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานใหม่ในรถบรรทุกจะเพิ่มขึ้น
ด้านธุรกิจแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ ขณะนี้เครื่องจักรที่สั่งมาจากไต้หวันได้เข้ามาถึงบริษัทเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จพร้อมจะสามารถรับรู้รายได้ไตรมาส 3 ปี 2565 สำหรับนโยบายการจําหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 10 : 90 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น อินโดนีเชีย ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มทยอยขายแผ่นปูรองนอนวัวตั้งแต่เดือน ก.พ.65 แล้วโดยเป็นการจ้างบริษัทภายนอก (OEM) ผลิตไปก่อน เพื่อทดลองตลาดในประเทศ โดยขายในปริมาณไม่มาก และจะเริ่มผลิตสินค้าสำหรับส่งต่างประเทศในไตรมาส 4 ปี 65